เทศน์เช้า วันที่ ๑๖ มกราคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
เวลาภาวนา จิตใจต้องตื่นตัวตลอดเวลา มันจะเศร้าสร้อยเหงาหงอยไม่ได้ เวลาหายใจเข้าแล้วหายใจออก การหายใจขาดช่วงนั้น คนจะตายทันที จิตเวลาปฏิบัติแล้วมันขาดช่วงเห็นไหม ตั้งแต่เมื่อคืนจนมาถึงปัจจุบันนี้ มันกี่ชั่วโมงแล้ว มันจะต้องมีสติตลอด ต้องควบคุมตลอด จิตใจมันไว ความคิดเร็วกว่าแสง แล้วมันคิดไปร้อยแปด เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย คำว่าเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายนี้ เราก็มาปฏิบัติเห็นไหม เราเสียสละออกมาแล้ว เราเสียสละออกมาเพื่อหาความจริง
ถ้าจะหาความจริง แล้วความจริงมันอยู่ที่ไหน หาไปเถอะ เวลาพระเราธุดงค์ไปเห็นไหม เข้าป่าไป ธุดงค์ไปหาจิตใจของตัวเอง แล้วมันเจออยู่ที่ไหนล่ะ เวลาเจอ มันก็เจออยู่กลางหัวอกเรา ถ้ามันเจออยู่กลางหัวอกนี้เห็นไหม มันมีสติสัมปชัญญะของมัน มันจะรู้ตัวของมันเองได้ ดูมือของเราสิ เราจับต้องสิ่งใด เรารู้ตัวตลอดนะ เวลาจิตมันเสวยอารมณ์ มันมีความคิด มันจับความคิดแล้ว จิตนี้มันหิวโหย มันต้องแสดงตัวของมัน มันกินอารมณ์เป็นอาหาร ขณะที่กินอารมณ์เป็นอาหาร หากสติสัมปชัญญะเราไม่ทัน มันฉุดกระชากลากเราไปหมด
ถ้ามันฉุดกระชากลากเราไปหมดเห็นไหม เราถึงต้องตั้งสติ ถ้าตั้งสติได้ มันจะยับยั้งสิ่งนี้ได้ ยับยั้งนะ แต่เราตั้งกันไม่ค่อยได้ เพราะอะไร ดูพายุเฮอริเคนสิ เวลามันมานะมันพัด มันหอบเมืองทั้งเมืองราบเป็นหน้ากลองเลย เวลาความคิดที่มันรุนแรง อารมณ์ที่รุนแรงมันฉุดกระชากลากใจของเราไป เราไม่เหลืออะไรจะต่อสู้มันได้เลย เพราะอะไรล่ะ เพราะคนไม่ได้ฝึก มีคนถามบ่อยมาก ทุกคนก็รู้ว่าอะไรดีอะไรชั่ว แล้วทำไมสู้ตัวเองไม่ได้ ทำไมตัวเองสู้ตัวเองไม่ได้ ก็ไม่ฝึกฝนเลย เวลาอ่านธรรมะก็อ่านชั่วครั้งชั่วคราว เวลาปฏิบัติก็ชั่วครั้งชั่วคราว เวลาอารมณ์มันดี
ดูสิ ชายหาดริมทะเล เวลาอากาศปกติ โอ้โฮ มันสวยงามมากเลย สึนามิมานะมันกวาดเกลี้ยงเลย นี่ก็เหมือนกันเวลาอารมณ์ดีไง เวลาจิตใจมันดีไง โอ้โฮ มีความสุขมาก แล้วเวลามีสิ่งที่มากระทบกระเทือนมา ทำไมถึงเอาไม่อยู่ล่ะ เพราะขาดการฝึกฝน เห็นไหม เวลาสึนามิมันมานี่นะ ชาวเลเขาเห็นนะ มันเป็นวัฒนธรรมของเขา เขาสั่งสอนกันมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย ถ้าทะเลนี้น้ำมันงวดลงไปโดยที่ผิดปกติ ให้หนีขึ้นที่สูงทันทีเลย ทำไมเขารู้ของเขาล่ะ ประเพณีวัฒนธรรมของเขา เห็นไหม นี่ไงเราถึงบอกว่าชาวเลนะ เวลาอยู่ชายทะเล เวลาเกิดพายุลมแรงขึ้นมานี่มันกวาดต้อน ถึงมันจะกวาดต้อน แต่ถ้าคนเขารู้ คนเขาก็ยังหลบหลีกของเขาได้
นี่ก็เหมือนกัน หัวใจที่เราฝึกของเรา มันเจ็บปวดไหม มันโดนกระชากลากไปไหม มันก็ไป เพราะเรายังมีกิเลสอยู่ เรายังสู้มันไม่ได้เห็นไหม แต่มันก็มีจุดยืน มันก็หลบหลีกเป็น มันก็มีที่พึ่งอาศัยได้ ดีกว่าคนไม่รู้เรื่องเลย ก็ยืนขวางแล้วเวลามันมานะ เวลามันพัดนะ มันกวาดไปหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน พอบอกว่าทำไมมันทุกข์ ทำไมมันเป็นอย่างนั้น ทำไมมันเป็นอย่างนี้ ก็ยืนขวางมันอยู่อย่างนั้น แล้วทำไมไม่ฝึกล่ะ ทำไมไม่รู้จักสติสัมปชัญญะล่ะ ทำไมไม่ยับยั้งมันล่ะ เพราะยังสู้มันไม่ได้ ก็ยับยั้งมัน
ครูบาอาจารย์ท่านบอกอยู่เห็นไหม สมาธิจับ ปัญญาตัด สมาธิจับ สมาธิจับ สมาธิจับ สติกับสมาธินี่มันจะจับเห็นไหม จับนี่ยับยั้งมัน ถ้ายับยั้งมันได้เห็นไหม แล้วปัญญามันจะตัด แล้วมันจะเกิดปัญญาขึ้นมา การฝึกฝนเห็นไหม เราถึงบอกว่าการฝึกฝนมันต้องสืบต่อ มันต้องทำต่อเนื่อง พอทำต่อเนื่องไปนี่รักษาใจ เวลาภาวนาจิตดีๆ นะ เวลาจิตสงบขึ้นมานี่ โอ้โฮ มันมีความสุขมาก ไม่ว่าไปอยู่ที่ไหนนะ จริงๆ ถ้าจิตลงสมาธิ แล้วออกจากสมาธิ เวลาเคลื่อนไหวไปไหนนี่มันเหมือนลอยไปเลยนะ มันเบาไง ร่างกายนี้มันเบาเหมือนลอยไปมันมีความสุขเลย แล้วมันเสื่อมไหมล่ะ มันก็เสื่อมเป็นธรรมดา แล้วเราจะฟื้นฟูมันขึ้นมาอย่างไร
เห็นไหม ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ ถ้ารักษาสมาธิ อยากได้สมาธิ ดูแลสมาธินะ มันเสื่อมหมด แต่ถ้าตั้งสติ กำหนดคำบริกรรม ไม่มีเสื่อมหรอก ธรรมทั้งหลายมาแต่เหตุ แล้วเรารักษาเหตุให้ดี เราทำในสิ่งที่ดีมันจะเสื่อมไปไหน สมาธิจะเสื่อมไปไหน กินข้าวทุกวันมันจะหิวไหม อาหารใส่ท้องทุกวันมันจะหิวไหม ไอ้นี่อาหารในท้องไม่มีก็หิวเป็นธรรมดา แล้วก็บอกว่าไม่ให้หิว กินไปแล้วก็ไม่หิว ให้มันไม่ย่อยเลย กระเพราะให้เต็มอยู่อย่างนั้นเลย มันเป็นไปไม่ได้
สมาธิก็เหมือนกัน สมาธิมันมาจากไหน ถ้าไม่มีสติสมาธิจะมาไหม ไม่มีสติไม่มีปัญญา สมาธิจะเกิดขึ้นไหม แล้วสมาธิมันเกิดขึ้นมาก็ไปรักษาสมาธิ นี่ไง กินแล้วก็รักษาท้องไม่ให้หิวอีกเลย มันเป็นไปไม่ได้หรอก
แต่ถ้าเรามีอาหารเติมไปเรื่อยๆ เรามีสติของเรา เรามีปัญญาของเรา รักษาของเราไปเรื่อยๆ มันก็มีความสุขไปเรื่อยๆ มีความสุขแล้ว เราถึงเอาความสุขนี้ออกมาทำงาน ถ้าไม่มีความสุขนะ ภาชนะถ้าสกปรกนี่จะใส่อาหารดีขนาดไหน อาหารนั้นก็สกปรกไปด้วย จิตของเรามันฟุ้งซ่าน มันมีกิเลสตัณหาความทะยานอยากครอบงำมันอยู่ ตรึกในธรรมะก็ตรึกโดยกิเลสเรานั่นล่ะ ถ้างั้นธรรมะของพระพุทธเจ้ามันสุดยอดไหม ปรมัตถธรรมไหม ใช่ ปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า แต่ไม่ใช่ของเรา ของเรามันกิเลสตัณหาความทะยานอยากเต็มหัวใจ แต่ก็ตรึกธรรมะของพระพุทธเจ้าเห็นไหม อาศัยเกาะเกี่ยวกันเห็นไหม ถึงภาชนะมันจะสกปรกก็ใส่อาหารดีๆ ก็แล้วกัน อาหารสุดยอด ใส่ไปแล้วก็สกปรก ภาชนะคือหัวใจไง หัวใจมันมีแต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากเห็นไหม
ศึกษามานี่เป็นปริยัติ ปริยัตินั้นศึกษาได้ แต่เวลาปฏิบัติ ภาชนะต้องสะอาด สะอาดด้วยอะไร สะอาดด้วยสติ ด้วยสมาธิ ถ้าสมาธินี่มันทำให้สะอาด เพราะสมาธิกลับมาสู่ จิตเดิมแท้นี้ผ่องใส นี่ไงมันสะอาดไง มันสะอาดของมัน ถ้าภาชนะที่สะอาด สะอาดแล้วได้อะไร สะอาดแล้วคว่ำมันไว้ สะอาดแล้วมันจะได้อะไรล่ะ ก็คว่ำไว้ไม่หงายขึ้นมาก็ไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย สะอาดแล้วไม่มีอาหารใส่ มันก็สะอาดเฉยๆ สะอาดแล้วไม่มีอาหาร มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ สะอาดแล้วต้องใส่อาหาร ภาชนะที่สะอาด อาหารที่เป็นประโยชน์ เราได้ดื่มกินก็จากภาชนะนั้น
ใจก็เหมือนกัน ถ้าใจมันฝึกหัดเป็นเห็นไหม ถ้ามันสะอาดแล้ว มันไม่มีอะไรเข้าไปบวก สิ่งที่บวกมันคือกิเลส อนุสัยนอนเนื่องมากับใจ กิเลสนุสัย ภวนุสัย อวิชชานุสัย มันนอนเนื่องมากับใจ มันไหลมากับใจ นอนเนื่องเห็นไหม ความคิดทุกอย่างพอมันไหลไปเหมือนพลังงาน ไฟฟ้ามันเคลื่อนที่ไป มันมาพร้อมกิเลสไง กิเลสมันไปอยู่แล้วนะ ความคิดมันบวกด้วยตลอดเวลา นี่ไงอนุสัยไง อนุสัยมันออกมาจากจิตไม่ได้หรอก มันอยู่กับจิต อนุสัยมันเคลื่อนมา พอเคลื่อนมาตรึกในธรรมพระพุทธเจ้า นี่ไงภาชนะสกปรกไง ภาชนะสกปรกไงต้องทำความสะอาดมันก่อนไง ถ้าเกิดภาชนะสะอาด โอ้ อาหารที่ดี พอตรึกขึ้นมานี่มันธรรมของเราแล้ว นี่ธรรมะส่วนบุคคล
สิ่งนี้มันต้องทำ ถ้าจิตของเราเห็นไหม เหมือนมือหยิบสิ่งใดเราก็รู้ แล้วเราจะหยิบไหมล่ะ มันพอจะหยิบไหม ถ้ามันเห็นโทษนะ อันนี้ไฟ หยิบที่ไรแสบร้อนทุกทีเลย อันนี้เป็นคุณประโยชน์เห็นไหม เป็นน้ำ เป็นแก้วแหวนเงินทอง หยิบแล้วมีความชื่นใจ จิตใจเสวยอารมณ์ เสวยความคิด ความคิดอันนี้ให้โทษยังไง จำไว้ เวลามันจะคิดอีกนะ ไม่กลัวเหรอ ถ้าสติมันทันนะ นี่ร้องไห้อีกแล้ว คิดทีไรก็เจ็บปวดทุกที แล้วคิดทำไม นี่มันตีมือออกเห็นไหม มือนี้ไม่หยิบลงไป ไม่หยิบลงไป ฝึกได้ เป็นอย่างนี้จริงๆ ถ้าใครปฏิบัติไปแล้วรู้เห็นตามความจริง เป็นอย่างนี้จริงๆ เห็นจิตเลย เห็นพลังงานนี้เลย พลังงานคือตัวนี้แล้วมันจับต้องสิ่งใดนี่รู้หมด แล้วมันควบคุมได้เห็นไหม
นี่ไง สมาธิถึงเป็นสมาธิ ภาชนะที่สะอาดๆ คว่ำไว้ไม่มีประโยชน์อะไรหรอก ไม่ได้ใส่อะไรเลย มีสมาธิได้อาศัยความสุข แหม ภาชนะใสสะอาดนะ ไปดูสิ ภาชนะชาวบ้านชาวเมืองเขาสกปรกหมดเลย กลิ่นเหม็นคลุ้งไปหมดเลย ภาชนะใสสะอาดนะ เออ รอวันเสื่อม เดี๋ยวก็เสื่อมหมดล่ะ นี่ก็เหมือนกัน ภาชนะสะอาดแล้วมันก็ต้องออกทำงาน ออกหาสิ่งที่เป็นประโยชน์กับใจดวงนั้น ถ้าใจดวงนั้นเกิดประโยชน์ขึ้นมาเห็นไหม
ใจของเราจากที่มันเศร้าหมอง จากที่มันทุกข์ยากนี่แหละ มันฝึกได้ ใจของคนฝึกได้ ครูบาอาจารย์ท่านพูดบ่อยมากนะ ไม่มีสมบัติสิ่งใดมีคุณค่าเท่าหัวใจคน ที่เรามาอยู่นี้ อะไรพามา ถ้าไม่ใช่เจตนาพามา ไม่มีเจตนา ไม่คิดว่าจะไปไหนเลย มันก็นอนจมอยู่ในบ้าน พอมันคิดจะไปไหน มันขยับขยายไป แล้วไปไหน มันจะพาไปไหน ถ้ามีสติปัญญาจะพาไปไหน แล้วเราอยู่บ้านเรา เราอยู่ภาวนาของเรา เราทำของเราได้ เรามานั่งสมาธิภาวนา ตั้งใจนะ มันจะเดือดจะร้อน มันจะทุกข์จะยาก อย่าไปคิดนะ ว่าธรรมะทำให้เราเดือดร้อน กิเลสเราทั้งนั้น ธรรมะไม่เคยทำใครเดือดร้อนหรอก แต่ไอ้กิเลสของเรามันไม่พอใจ มันขัดใจทุกอย่างมันเกิดจากมัน แล้วเอาสติยับยั้งมันแล้วสู้กับมัน ถ้ามันชนะหนสองหน มันชนะไปเรื่อยๆ ภาชนะจะสะอาดขึ้นมา
พอภาชนะสะอาดขึ้นมา แล้วออกใช้ปัญญานะ ทุกคนพอบอกใช้ปัญญานะ โอ้โฮ ไอ้ที่ว่าปัญญาๆ นั้น หลอกกันทั้งนั้นเลย แล้วเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ปัญญาอย่างนี้เกิดขึ้นมาจากไหน ภาวนามยปัญญา นี่ในพระไตรปิฎกถึงไม่เขียนชัดเจนว่าภาวนามยปัญญาเป็นยังไง สุตมยปัญญา เห็นไหม ทุกคนจะศึกษาได้ นี่ทุกคนก็รู้ได้เพราะการศึกษาจากตำรา จินตมยปัญญานี้ จินตนาการได้ทุกคนเลย
ภาวนามยปัญญา ไม่มีใครเคยเห็น พอภาวนามยปัญญาขึ้นมา โอ้โฮ มันจะซึ้งใจมากนะ แล้วสิ่งที่เกิดมันมาจากไหนล่ะ ไม่มีใครจะทำให้เราได้ ไม่มีที่ไหนจะทำให้เราได้เลย มันเกิดขึ้นมาจากใจของเรา เกิดขึ้นจากธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ตรัสรู้ธรรมไปแล้ว แล้ววางธรรมวินัยไว้นี้ ให้เรารื้อค้นฝึกฝน ฝึกฝน ไม่มีขายไม่มีการแลกเปลี่ยน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครูบาอาจารย์ก็ทำให้เราไม่ได้ ไม่มีใครทำให้ใครได้เลย ไม่มีเลย
องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบอกว่าเราเป็นผู้ชี้ทาง เราผู้ประพฤติปฏิบัติจะต้องรื้อค้นขึ้นมา เพราะภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่ชำระกิเลส ภาวนามยปัญญาเท่านั้นที่ทำให้เราหลุดพ้นไป ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ ไอ้ทุกข์ๆ ยากๆ แล้วทำได้ ทำได้ด้วยความจริงใจของเรา ความจงใจของเรา
ถึงต้องตั้งใจ แล้วทำของเราเพื่อประโยชน์กับเรานะ พูดทุกวัน พูดบ่อยๆ เพราะอะไร เพราะว่าเวลาเห็นโยมปฏิบัติ เราปฏิบัติมาก่อนนะ เราทุกข์กว่าโยมอีก เราทุกข์เพราะอะไร เพราะไม่มีคนบอก ไม่มีคนชี้นำ จนหาครูบาอาจารย์ เจอแล้วมันถึงมีคนชี้นำ แล้วนี่เวลาที่ประพฤติปฏิบัติ ไอ้ตากแดด ไอ้เดินจงกรมอย่างนั้น เราทำมาก่อนแล้ว เราตากแดดเดินจงกรมมาทั้งวันทั้งคืน ๗ วัน ๗ คืน เราสู้กับมันมาเป็นปี เป็นเดือน เราทำมาหมดแล้ว ฉะนั้นเวลาโยมปฏิบัติ เรารู้ว่ามันทุกข์ขนาดไหน มันวิตกกังวลในใจขนาดไหน เราทำมาแล้วทั้งนั้น แต่มันไม่มีใครช่วยใครได้ด้วยการยื่นให้ มันจะช่วยได้ด้วยการให้กำลังใจ ช่วยด้วยการชี้นำ แล้วเราจะต้องพยายามของเราเพื่อประโยชน์กับตัวเราเอง เอวัง